top of page

Hasselblad X2D 100C "EARTH EXPLORER"



เฮ... จุดพลุฉลอง ตีฆ้องร้องป่าว ในที่สุดเราก็พากันมาถึงระดับ Medium format จนได้ครับ หลังจากเปิดตัวในวงการกล้องดิจิทัลด้วย four third ต่อด้วย APS-C และสารพัด full frame วันนี้ก็มาถึง เป็นวันที่ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่แต่ใช้เวลาแป๊บเดียว เพราะหน้ามืด

-        เอาไว้รับงานถ่ายภาพหรือ... ไม่!

-        เอาไว้สนอง passion ส่วนตัว... ใช่!


ไม่มีข้ออ้างอะไรมากครับ ผมเหล่ ๆ Medium format มาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่กำลังเงินมันไม่ถึง โดยเฉพาะสมัยก่อนมันแพงเหลือหลาย จน Hasselblad ออกรุ่น X1D ที่ราคาพอจับต้องได้ จากหลักล้านมาเหลือหลักแสน แต่ตอนนั้นดูแล้วมันยังใช้ไม่ค่อยสะดวกนัก แล้วเราก็กำลังอินกับ Leica อยู่มาก จวบจนมันออก X2D ที่สเป็คมันเริ่มน่าสนใจ สามารถใช้งานทั่วไปได้ดี ก็ได้แต่นั่งอ่านรีวิว ลองหาโหลดไฟล์มาดู หรือไม่ก็ขอไฟล์เพื่อนที่มีมาเล่น แล้วเจ้ากล้อง medium format มันน่าสนใจอย่างไร กล้องที่มีเซนเซอร์ใหญ่ไปอีกระดับแบบนี้มันให้ทัศนมิติของภาพแน่น เมื่อเทียบองศารับภาพเดียวกับกล้องขนาด full frame พื้นที่รับแสงใหญ่ สีสวยงาม รายละเอียดสวยงาม จัดการจุดรบกวนได้ดี ตามที่เคยได้เล่น Rolleiflex 3.5F กล้อง TLR ราคาน่ารักน่าชัง (https://www.paronya.com/single-post/2019/05/13/rolleiflex-35f) ก็ประทับใจกับงานออกแบบและคุณภาพของภาพเป็นอย่างมาก


Hasselblad X2D ออกวางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว อายุอานาม 2 ปี (เชื่อว่าปีหน้าน่าจะมีรุ่นใหม่ออกมาครับ จึงเริ่มทำรุ่นพิเศษออกมากระตุ้นยอดขายปลายอายุ) ความทุกข์ทรมานใจอย่างหนักจึงเกิดขึ้นตั้งแต่ Hasselblad เปิดตัว X2D 100C “EARTH EXPLORER” เมื่อไม่นานมานี้ ผมรู้สึกว่ามันใช่ มันถูกใจกับคำว่า “นักสำรวจโลก” สีตัวกล้องก็สวย สีภาพที่ได้ก็สวย แล้วการเอากล้องที่เก็บรายละเอียดได้ดี ๆ ไปเก็บภาพธรรมชาติที่น่าประทับใจบนโลกมนุษย์ใบนี้ มันจะเป็นข้อมูลดิจิทัลที่มีคุณค่า นำไปใช้อ้างอิง หรือใช้งานอื่น ๆ ได้หลากหลายในอนาคต มองย้อนกลับไปแล้วก็ยังนึกเสียดายหลายสถานที่ที่เคยได้ไปในอดีต ที่สมัยนั้นไม่มีเงินซื้อกล้องดี ๆ แล้วตอนนี้มันก็ถูกความ “เจริญ” เปลี่ยนแปลงไปหมดเสียแล้ว หรือแม้แต่งานศิลปะบางประเภท เช่น จิตรกรรมฝาผนัง ที่บางแห่งอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมและกำลังลบเลือนไปอย่างรวดเร็วตามกาลเวลา มันน่าเสียดายครับ และจะยิ่งน่าเสียดายถ้า limited edition ทั้ง 1,000 ตัวนี้มันหมดไปก่อนที่จะมาถึงมือเรา ฮ่ะ ๆ ๆ


หลายท่านกังขานะครับว่า limited edition ตัวนี้ “บวก” ราคาเข้าไปเยอะ จนไม่คุ้มค่าที่จะซื้อมาครอบครองหรือไม่ ลองดูของแถมเพื่อเปรียบเทียบราคากันครับ ในกล่องเราจะได้รับ

-        ตัวกล้อง X2D 100C สี Tundra brown

-        เลนส์ XCD 2,5/55 V + เลนส์ฮูด

-        ฟิลเตอร์ Hasselblad UV filter 72mm

-        สายคล้องคอ Vandra สี Tundra brown/black

-        แบตสำรองเพิ่ม 1 ก้อน

-        Battery charging hub



ทีนี้มาลองดูราคาครับ (หน่วย USD สำหรับพ่อบ้าน ส่วนแม่บ้านขอให้บอกหน่วยเป็นบาทนะครับ)

 

“(Earth Explorer 13,999)​ – (X2D 100C 8,199 + XCD 2,5/55 V 3,699 +

UV filter 249 + Vandra strap 299 + 2nd Battery 100 + Battery charging hub 155) =

1,298 ใช้เป็นค่าทำสีกล้อง สลัก number ทำสายคล้องคอสีใหม่”

 

แน่นอนครับว่าการเก็บกล้อง limited edition ที่เป็นดิจิทัล มันไม่สามารถจะรักษามูลค่าในระยะยาวได้ Leica พิสูจน์ให้เราเห็นมาแล้ว แต่ว่าราคาที่ต่างกันระหว่าง X2D ตัว limited edition กับ X2D ตัวธรรมดาก็พอ ๆ กับการส่งกล้องไลก้าไปทำสีที่ Kanto แหละครับ เลยไม่คิดอะไรมาก สิ่งที่น่าคิดมากกว่านั้นคือเลนส์ XCD 2,5/55 V ที่มาในชุด มันคือเลนส์ตัวธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษทั้งสิ้นครับ (น่าเสียดาย)

การพัฒนาจากรุ่น X1D ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 คร่าว ๆ คือเซนเซอร์มีความละเอียดมากขึ้น ออโต้โฟกัส PDAF  (Phase Detectiion) เร็วขึ้น มีกันสั่น IBIS มี EVF ที่ละเอียดมากขึ้น จอหลังพับได้ เปลี่ยนแป้นปรับโหมดด้านบนเป็นจอแสดง ออกแบบกริ๊ปใหม่ลงตัว ใช้ CF express แทน SD card แถมด้วย SSD 1TB built-in ตัด GPS ออก ตัดการถ่ายวิดีโอออก นี่แหละครับที่บอกไว้ว่ามันน่าจะใช้งานทั่วไปได้ดีแล้ว

 

รถถังคันน้อย

เห็นกล้องหน้าตาแบบนี้ แต่บอดี้ทำจากอลูมิเนียมหมดเลยนะครับ จับแล้วแน่นหนาดี มีชิ้นส่วนยางและพลาสติกน้อยมาก ๆ ทำให้หวนระลึกถึงอารมณ์กล้อง D-SLR ตัวแรกที่เคยใช้อย่าง Olympus E-1 แต่ถ้า Hasselblad จะไปให้สุดกว่านี้ ทำบอดี้อลูมิเนียมแบบMonoblock มาเลยสิครับ ชิ้นเดียวไม่ต้องประกอบต่อ ๆ กันมันจะสุดมาก -- ได้รับข้อมูลมาว่ามันขึ้นรูปมาจาก single solid block aluminium แต่ผมเห็นรอยต่อตรงด้านหน้าอยู่ครับ เลยยังสงสัยอยู่ว่าตกลงมันยังไงกันแน่ -- และแน่นอนครับตัวกล้องขนาดนี้ต้องแลกมากับน้ำหนักที่ต้องแบก น้ำหนักรวมแบต 895g เบากว่า Nikon Z8 ที่ 910g อยู่หน่อยนึง ส่วน Nikon Zf หนัก 710g Fujifilm GFX100 s II หนัก 883gอืม... medium format ก็ไม่ได้หนักน่ากลัวอย่างที่คิดนะ น้ำหนักมันก็เบาพอ ๆ กับกล้อง Mirrorless full frame ระดับบน ๆ แล้ว สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือเลนส์ครับ วัสดุที่ผลิตเลนส์ XCD รุ่นใหม่ ๆ นี้เป็นอลูมิเนียมทั้งหมด ใช้ได้ยาว ๆ ไม่มียางให้ย้วยกวนใจ


ลองดูภาพขนาดเทียบกับ Nikon Zf + Nikkor Z 40mm f/2 (SE)


สีสัน Tundra-brown ที่ Hasselblad พยายามขายดีไซน์เรื่องสีนี้มาก ๆ ก็สวยจับใจจริงครับ เลือกสีมาดี รสนิยมดีครับ แถมทำสีมาดี ผิวสัมผัสดี รู้สึกถึงความหนา ความแน่น แต่ระวังมันเป็นรอยง่ายหน่อยนะครับ (ถ้าทำสีได้แบบ Leica M11 หรือ Leica M10 Reporter จะดีมาก ๆ เพราะกันรอยได้ระดับสุดยอด) ถ้าใครต้องการซื้อมาสะสม ใช้อย่างระมัดระวังหน่อยก็ดี แต่อย่างเราซื้อมาแล้วมันต้องใช้! ลุยแหลกให้มันสมกับชื่อ "เจษฎาภรณ์" เอ้ย! EARTH EXPLORER



ด้านบนของกล้องมีสลักชื่อรุ่นไว้ชัดเจนว่า X2D แถมเคลมไว้ด้วยว่า Handmade in Sweden บน Hot shoe สลักไว้อีกว่า X2D 100C ด้านบนหัวกล้องสลัก Hasselblad เป็นตำแหน่งมาตรฐานของยี่ห้อกล้องเกือบจะทุกยี่ห้อ ด้านข้างมีฝาปิด (อลูมิเนียม) ช่อง USB-C ด้านบนและ CF express ช่องล่าง มีสองรูนี้เท่านั้น!!! แถมมีป้ายเตือนไว้ด้วยว่าการ์ดร้อนนะจ๊ะระวังมือพอง บริเวณด้านข้างนี้เองมีโลโก้ H เงาแว้บและสลักคำว่า Earth Explorer พร้อม number 0001-1000 เป็นสีส้มโดดเด่น ด้านหลังของกล้องมีคำว่า Hasselblad จาง ๆ อยู่ใต้จอ (ชื่อยี่ห้อมันชักจะเริ่มเยอะไปแล้วนะ) ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ของกล้องรวมถึง serail number ถูกสลักไว้ด้านใต้ของกล้องครับ และดูเหมือนว่า Hasselblad จะเลือกแล้วว่าจะเล่นกับสีส้มเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ปุ่มชัตเตอร์ รวมถึงตัวอักษรบางส่วนบนตัวกล้อง และอักษรบางส่วนบนเลนส์จะเป็นสีส้ม ตรงนี้ส่วนตัวไม่ค่อยชอบเท่าไร ผมชอบให้กล้องมันเรียบ ๆ มัน Timeless มากกว่า


ปุ่มต่าง ๆ ของกล้อง

เรื่องนี้ต้องขอพูดนิดนึงเพราะชอบลักษณะปุ่มแบบนี้มาก ตั้งแต่ Leica-S Leica-SL(typ601) แล้ว เป็นปุ่มที่ไม่ต้องมีตัวอักษร ใช้กราฟิกง่าย ๆ พอ ไม่รก สวยงามสะอาดตาพอดีแล้วครับ ใช้งานไปสักระยะหนึ่งก็จะชินไปเอง

 


สายคล้องคอ

สาย Vandra สีดำกับ tundra-brown เข้ากับกล้องได้ดี แถมมาให้ในชุด แม้จะเป็นของแถมแต่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้นะครับ เพราะถ้าซื้อแยกราคาเป็นหมื่นเลยทีเดียว สายคล้องคอนี้มีที่มาที่ไปจากปรัชญา “Allemansrätten” หรือ Freedom to roam แหม่... เหมาะกับ Earth Explorer เสียนี่กระไร ด้านนอกของสายเป็นเส้นใยพลาสติกรีไซเคิล ถักหนาดี ผิวสัมผัสดี มีลายปัก Hasselblad หรา ล่อโจรดีมากครับ ด้านในเป็น Alcantara มีอักษร Earth Explorer ยิงไว้ด้วยนะครับ ใช้ง่ายสบายคอ ระบบการล็อกกับตัวกล้องก็ดี แน่นหนาแต่ปลดง่าย ออกแบบได้ลงตัวมาก ๆ ไม่เหมือนหูทั่วไปที่มักจะโดนแหวนคล้องสายขูดไปขูดมาจนบางยี่ห้อถ้าเหล็กไม่แข็งจริงก็สึกกันไป รอวันขาด แต่ส่วนที่ไม่ค่อยชอบของสายนี้คือตัว adjust buckle มันเป็นเหล็ก เวลาม้วน ๆ เก็บกับกล้องมันจะไปขูดกับกล้องได้ เวลาเก็บกล้องไม่ค่อยสบายใจนัก ต้องถอดสายแยก และตัวยึดกับกล้องแบบนี้ทำให้สายแต่ละข้างหมุนเป็นอิสระ บางทีมันพันเป็นเกลียว 2 ข้างไม่เท่ากันน่ารำคาญใจได้เหมือนกัน

 

ช่องมองภาพ EVF

ช่องมองใหญ่ สบายตา จอ OLED ความละเอียดดีที่ 5.76 ล้านจุด อาจไม่ใช่ช่องมองภาพที่ดีที่สุดแต่ไม่มีข้อให้ติอะไรนะครับ ใช้งานได้สบาย ๆ คุณภาพเหมาะสมกับยุคนี้แล้ว การปรับแก้สายตาสำหรับคนแก่อย่างเราอันนี้ล้ำครับ กล้องใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตั้งในเมนู ส่วนตัวผมว่าดีมาก ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปหมุนปุ่มปรับแก้สายตาโดยไม่ตั้งใจ

 

จอบน

ใจร้ายดีเหมือนดูหนังซาดิสม์! ด้านบนของตัวกล้องเป็นจอแสดงข้อมูลต่าง ๆ ขนาด 1.08 นิ้ว เป็นจอสี แทนแป้นหมุนปรับโหมดต่าง ๆ ใน X1D ซึ่งดีมาก ๆ ครับ แป้นปรับโหมดพวกนั้นส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ใช้ แต่ ๆ ถึงจะเกิดมาเป็นจอสีแต่มันดันแสดงข้อมูลแต่ขาวดำ! แสดงสีเฉพาะตอนบอกระดับแบตเตอรี่เท่านั้น ฮ่ะ ๆ ๆ เอากับมันสิ

 

จอภาพ

จอหลังใหญ่ สะใจ ที่ 3.6 นิ้ว เป็นจอ TFT + touch screen ใช้ง่ายเต็มตาสะดวก ปรับเงยได้ 2 ระดับ แต่ส่วนตัวผมไม่ได้ใช้เลย ชอบแบบจอ fixed มากกว่า แต่หลาย ๆ คนได้ใช้ประโยชน์จากมันจริง ๆ ครับ บางทีอยากได้อารมณ์แบบ v system ก็กางจอออกแล้วถ่ายระดับเอวเอาก็ได้ (ปรับแต่งปุ่มในตำแหน่งชัตเตอร์ของ V system ให้เป็นปุ่มชัตเตอร์ได้ด้วยล่ะ) กลไกต่าง ๆ ดูแน่นหนาดี ไม่เสียวหักเสียวพัง


เมนู

เปิดเครื่องมาปุ๊บ น่อวว มีโลโก้ EARTH EXPLORER ขึ้นมาให้ก่อนเสียด้วย ไม่มีผลต่อภาพถ่ายครับ ฮ่ะ ๆ ๆ

เรียบง่ายมากครับ ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ต้องปรับตัวกันหน่อย เพราะปรับตั้งอะไรได้น้อยมาก ๆ เรื่องนี้เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียครับ เราไม่ต้องปรับตั้งอะไรมาก ไม่ต้องวุ่นวายกับ picture style ต่าง ๆ ปรับตั้งสี คอนทราสต์ (สมัยก่อนนิยมชมชอบ Leica เพราะเรื่องนี้มาก แต่หลัง ๆ นางก็ตามกระแส มีปรับ style ต่าง ๆ ได้ ก็เริ่มไม่ชอบละ) แต่มั่นใจใน Hasselblad Natural Colour Solution (HNCS) ได้ว่าภาพสวย สมจริง แน่นอน ส่วนข้อเสียคือ การปรับตั้งปุ่มต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเรามันทำได้จำกัดเกินไปหน่อย


ระบบโฟกัส

ดีกว่า Leica M แค่ตรงที่มีออโต้โฟกัสมาให้ แต่ยังห่างไกลกับระบบ Auto Focus ในกล้อง Full frame มาก รักจะได้คุณภาพของภาพสูง ๆ แล้วก็ต้องยอมรับข้อจำกัดบ้างในบางเรื่องครับ ระบบ AF ที่มีมาให้ถือว่าดีแล้วเป็นแบบ phase detection (PDAF) ใช้งานได้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบโฟกัสจุดเดียว (เลื่อนจุดเองได้ด้วยจอสัมผัส) + ระบบ face detection ที่ยังอุตส่าห์มีมาให้ กล้องไม่มีระบบหาจุดโฟกัสให้เอง ไม่มี AF-C กระนั้นการโฟกัสก็ใช้ได้ ไม่ช้าเกินไป แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้างในสถานการณ์ที่มีความเปรียบต่างน้อย หรือในที่มืด กล้องมันจะหาโฟกัสไม่เจอ ต้องใช้ MF ช่วย โฟกัสมันช้าอารมณ์เหมือนใช้ Nikon F80 + เลนส์คิท 28-75 (ที่หน้าเลนส์หมุนไปด้วยเวลาโฟกัส) อะไรประมาณนั้นแต่เสียงไม่ดังนะครับ



แบตเตอรี่

เคลมไว้ 420 ภาพต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ไม่ได้แย่ครับ ถือถ่ายสบาย ๆ ไม่ต้องกังวล ในเซ็ต Earth Explorer มีแถมแบตสำรองมาด้วยอีก 1 ก้อน อุ่นใจครับ วิธีการถอดใส่แบตเตอรี่ เหมือนกับ Leica ยุคใหม่ ๆ เลยครับ เลื่อนก้านโยก แบตจะเด้งออกมา 1 จังหวะ จากนั้นก็กดที่ตัวแบตอีกทีจะเอาออกมาได้ง่าย ปลอดภัย ถูกใจครับ

 

การใช้งาน

            ต้องปรับตัวกับระบบโฟกัสและปุ่มต่าง ๆ นิดหน่อยครับ ที่เหลือมันเหมือนกล้องทั่ว ๆ ไปเลย ด้วยความที่กล้องค่อนข้างใช้พลังงานเยอะ และการเปิดปิดใช้เวลานาน (ประมาณ 2 วินาที กดปุ่มค้าง 1 วินาที บูตกล้องอีก 1 วินาที) กล้องเลยออกแบบมาให้มีโหมด sleep โดยการกดปุ่ม power สั้น ๆ (ถ้ากดค้างจะ shutdown) เวลาถ่ายรูปก็ใช้งานได้ดีเลยครับ ประหยัดพลังงานได้ แล้วเวลาต้องการจะถ่าย กล้องก็ตอบสนองกลับมาเร็ว ถือว่า Hasselblad ออกแบบมาดีครับ

 


คุณภาพของภาพ

100-megapixel มันสะใจครับ มาจากเซนเซอร์ขนาด 44 x 33 ซ.ม. (crop factor 0.79x เมื่อเทียบกับฟูลเฟรมขนาด 36 x 24 ซ.ม.) ซึ่งถือว่าเป็นเซนเซอร์ขนาดเล็กของกล้อง medium format นะครับ ถ้ารุ่นใหญ่ ๆ อย่างพวก Phase One หรือ Hasselblad H system มันจะใช้เซนเซอร์ขนาด 53.4 x 40 ซ.ม. (crop factor 0.65x) ถ้าจะเอารุ่นใหญ่ต้องมีเงินเกือบ 2 ล้าน! ซึ่งอาจดูว่าขนาดเซนเซอร์ของ X2D ใหญ่กว่ากล้องฟูลเฟรมไม่มาก แต่พูดได้เต็มปากเลยครับว่าเห็นความแตกต่างมากทีเดียว



Hasselblad พูดมาตรง ๆ เลยครับว่าใช้เซนเซอร์ของ Sony แต่ Hasselblad นำมาจัดการ calibrate profile สีเอง ภาพออกมาสีสวยมากครับ จัดเป็นอันดับต้น ๆ หรือเรียกได้ว่าที่สุดเลยครับของสีสันเท่าที่ผมเคยใช้กล้องมาหลากหลายยี่ห้อ เจ้านี่แหละเด็ดสุด ๆ ตัวที่ชอบรองลงมาคือ Leica + APO lenses ซึ่งเมื่อเทียบกันไลก้าจะให้สีค่อนข้างสดมากกว่า แต่ด้วยความเคารพครับ ผมยก Hasselblad ว่าให้สีสันสมจริงกว่า (ขอบคุณ HNCS) การจัดการสีสันในสภาพแสงที่ยุ่งยาก หรือไฟตอนกลางคืนดีมากครับ แสงสีน้ำเงินไม่เป็นปื้ด ๆ แบบ Leica M11 ที่เคยใช้มา มีอิสระในการในการถ่ายภาพมากขึ้นเยอะ

ให้สีสันที่ตรง อิ่ม คอนทราสต์สูง แต่เก็บรายละเอียดส่วนมืดส่วนสว่างได้ดี


นอกเหนือจากสีสันที่สวยงามแล้ว X2D 100C ยังให้ความคมระดับสุดยอดอีกด้วย ภาพ 100MP กำลังแยกขยายของเลนส์เอาอยู่ ซูมภาพมาดูแล้วฟินมากครับ

ภาพเอกรงค์ความเปรียบต่างจะมากสักหน่อย ปรับแต่งกันดี ๆ นะครับ


ซอฟท์แวร์

Phocus ซอฟท์แวร์ฟรีจาก Hasselblad เป็นโปรแกรมช่วย process ภาพที่ดีมาก การจัดการสีสันตรงเป๊ะไม่ต้องวุ่นวายกับโปรไฟล์สี เชื่อมต่อกล้องเร็ว ถ่ายโอนข้อมูลเร็ว ปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้ละเอียด สามารถใช้แทน Lightroom ได้เลย (ถ้าไม่รีทัชโน่นนี่นะ) เท่าที่ลองเล่นใน iPhone iPad และ MacBook ขอยกให้เวอร์ชัน iPad ใช้ดีสุดเลยครับ ปรับแต่งต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วสามารถ Export ได้เต็ม Resolution เป็น jpg เข้าไปอยู่ใน Photos ได้เลย จะไปก๊อปลงคอมพิวเตอร์เมื่อไรก็ว่ากัน ทั้งนี้ใน iPhone และ iPad ยังสามารถใช้โหมด Street Photography Assistant ได้ กล่าวคือโปรแกรมจะทำงานใน Background ถ่ายภาพเมื่อไร โปรแกรมโอนภาพเข้ามาให้เองเมื่อนั้น เด็ดจริง ๆ ครับ หรือถ้าใครชอบแบบดั้งเดิมจะถ่ายภาพใส่ CFexpress แล้วมาโหลดใส่ Phocus ทำงานต่อใน PC หรือ Mac ก็ได้เช่นเดียวกัน

การเซฟไฟล์หากทำใน Phocus mobile ใน iPhone หรือ iPad จะเซฟออกมาเป็นเป็น jpg ได้อย่างเดียว หรือเซฟเป็น original ที่ไม่ผ่านการปรับแต่งออกมาได้ แต่พอเอาเข้าคอมพิวเตอร์ต่อ จะไม่สามารถปรับตั้งตรง Lens correction ได้ครับ ดังนั้นถ้าอยาก process ในคอมพิวเตอร์ ให้โยนไฟล์เข้าคอมพิวเตอร์โดยตรงเลยครับ อย่า export ผ่าน Phocus mobile


ข้อควรระวังสำหรับเมืองไทย

ผมไม่รู้ว่าในระยะยาวจะเป็นอย่างไรนะครับ แต่ในสเป็คของกล้องแจ้งว่าทำงานที่อุณหภูมิ -10 – 45 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ไม่มากกว่า 85% ซึ่งเอาแค่ในกรุงเทพฯ นะครับความชื้นสัมพัทธ์ (rH) ต่ำสุด 68% สูงสุด 79% เฉียดฉิวมากนะครับ ถ้าห้อยคอไปเดินป่าดิบ ป่าใต้ หรือน้ำตก ยังไงก็เกิน 85% ที่กำหนดแน่นอน กล้องจะพังไหมไม่ทราบ นี่ยังไม่นับซาอุดิอาระเบียที่ผมไป ๆ มา ฤดูร้อนเกิน 50 องศา กล้องจะรอดไหม แล้วมาใช้ชื่อว่า Earth Explorer มันจะโอเวอร์เคลมไปหน่อยไหมนะ


สิ่งที่น่าหงุดหงิดใจ

1. ชาร์จแบตกับ Battery charging hub เมื่อเต็มแล้วมันจะมีเสียงร้อง บี๊บ ๆ อยู่อย่างนั้นจนกว่าเราจะเอาแบตออก ไปเที่ยวจะชาร์จทิ้งไว้แล้วนอนให้เต็มอิ่มก็ไม่ได้ รำคาญจัง

2. เวลาแตะครึ่งชัตเตอร์เพื่อล็อกโฟกัส แต่กล้องไม่สามารถปรับตั้งให้เป็น AE-lock ร่วมด้วยได้ ต้องกดปุ่ม AE-lock ต่างหากเท่านั้น มันเพิ่มกระบวนการก่อนถ่ายภาพมาอีกสเต็ป ไม่ถูกใจ แต่พอใช้ mode M นะ แหม ขึ้น icon แสดงมาเชียวว่า AE-lock อยู่ – มันก็ต้องล็อกแน่ล่ะสิเพราะมันปรับตั้งเองทุกอย่าง โถ้ววว อยากจะกรีดร้อง

3. ส่วนตัวผมไม่ชอบใช้จอในการถ่ายภาพ ชอบส่องใน EVF มากกว่า เวลาถ่ายภาพกล้องไม่สามารถแสดงภาพใน EVF ในขณะที่จอแสดงผลอย่างอื่นหรือปิดจอไปเลย แล้วแสดงภาพ playback ในจอใหญ่เท่านั้น มันทำไม่ได้!!! ผู้ใช้งานต้องเลือกเท่านั้น เพราะจอภาพกับ EVF จะแสดงผล mirror กันเสมอ แยกจัดการกันไม่ได้ ถ้าใครอยากปิดจอภาพแล้วใช้ EVF อย่างเดียว เวลารีวิวภาพก็ต้องส่องดูใน EVF นะครับ

4. สมมติว่า อ่ะ... เรายอมก็ได้ ให้แสดงผลทั้งหมดที่ EVF อย่างเดียว ก็จะพบว่าการเรียกใช้เมนูต่าง ๆ ทำได้ยากขึ้นเยอะเลย เพราะมันใช้ touch screen ไม่ได้แล้ว ต้องใช้ลูกกลิ้งเท่านั้น เพราะกล้องไม่มีปุ่มสี่ทิศทางหรือ joy stick มาให้

5. ร้อน ถ่ายต่อเนื่องกันหลาย ๆ ภาพจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่ากล้องร้อนครับ ตรงนี้ต้องจับตาดูกันให้ดีในระยะยาวว่าเซนเซอร์จะได้รับผลกระทบไหม


สรุป

            ได้โปรด “อย่า” นับ Hasselblad เป็น Luxury brand เลยนะครับ มันแค่ราคาแพง แต่มันก็แพงเพราะคุณภาพของมัน คือถ้าจะเอามาห้อยหล่อ ๆ เท่ห์ ๆ ผมว่า X2D ยังไม่ใช่ ส่วนตัวผมว่าไปพวก V system หรือห้อย Leica M ยังได้ความหล่อมากกว่า เพราะมันเป็นรูปทรงที่เป็น iconic ของยี่ห้อครับ กล้อง X2D มันให้ภาพมาขนาดนี้แล้ว คนซื้อไปไม่น่าเอาไปใช้เป็นเครื่องประดับครับ มันต้องซื้อไปใช้งาน ใช้ให้ยับเลยถึงจะคุ้มค่ากับค่าตัวของมัน อันที่จริง Leica ก็เช่นกัน คนจะเล่นต้องเล่นไปที่คาแรกเตอร์ของภาพ คาแรกเตอร์จากเลนส์แต่ละตัว อย่าไปเล่นตามกระแสครับ ลองไปเรื่อย ๆ สนุกไปเรื่อย ๆ จนเจอตัวที่ถูกจริตของเรา แล้วใช้ไปจนเป็น Master ของเลนส์นั้น ๆ ฟินกว่าเยอะครับ

            สำหรับ Hasselblad X2D ถ้าใครสนใจจะมาทางนี้ขอให้ไปลองเล่นก่อน ว่าโอเคกับข้อจำกัดของมันไหม แล้วภาพที่ได้มาถูกใจไหม สีสันถูกใจไหม หรือคุ้มค่ากับการซื้อหรือไม่นะครับ อย่างคนที่มี Leica + APO lens อยู่แล้วอาจต้องเทียบกันดี ๆ ดูภาพโดยทั่วไปอาจไม่หนีกันมาก หรือถ้ามี Leica M11 อยู่แล้ว ไม่เคยถ่ายที่ 60MP เลย แปลว่าคุณอาจไม่ได้ต้องการ X2D ก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากรู้อยากลอง อิ่มตัวกับ Leica แล้ว หรืออยากได้ภาพที่คุณภาพสูงจริง ๆ มาลองดูครับ อาจได้ติดไม้ติดมือกลับไปบ้านไปเหมือนผม

            คราวหน้าจะรีวิวการใช้งานและคุณภาพของภาพเวลาใช้งานจริงกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ บอกเลยว่ามีอีกหลายตอนที่อยากเจาะลึกเกี่ยวกับกล้องตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เลนส์ Leaf shutter ไปจนถึงสายคล้องคอ!!! แต่ตอนนี้ขออนุญาตพากล้องไป “สำรวจโลก” ก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่... สวัสดี



ทริปแรกนอกกรุงเทพฯ พาไปทำงานด้วยที่หนองคาย มีโอกาสก็เก็บภาพมาเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ





Commenti


bottom of page