top of page

จากวันนั้นถึงวันนี้

Updated: Aug 24, 2023

“จากก้าวเล็ก ๆ ที่เริ่มต้นด้วยความบังเอิญที่น้องสาวทำกล้อง Compact Sony P71 หายไป ผมจึงเริ่มมองหากล้องดิจิทัลตัวใหม่ไว้ใช้งาน ซึ่งแรก ๆ นั้นผมเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะจริงจังกับการถ่ายภาพแต่อย่างใด เพียงแค่คิดว่ากล้อง Ricoh Caplio GX ในสมัยนั้นทำอะไร ๆ ได้หลายอย่างดีมีโหมดแมนวลด้วย มีลูกกลิ้งด้านหน้าดูหล่อเหลาเอาการพอควร และด้วยสนนราคาเพียง 1 หมื่นบาท ก็เป็นตัวเลือกที่ตัดสินใจได้ไม่ยากเท่าใดนัก GX เป็นกล้องที่ดีครับ ทำให้จากนั้นผมจึงเริ่มหลงใหลในการปรับตั้งค่าต่าง ๆ ของกล้องด้วยตัวเอง เร่ิมออกไปถ่ายภาพตามสถานที่ต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ ใช้ GX อยู่ได้ไม่นานจึงมีความคิดอยากจะถ่ายภาพแบบจริงจังกับเขาบ้างเสียที ช่วงนั้นเป็นจังหวะดีครับที่กล้อง Olympus E-1 เลหลังกำลังจะหมดไปจากตลาด ผมก็เลยซื้อหามาได้ในราคาประมาณ 2 หมื่นเศษ ๆ ยังจำได้เลยว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ได้จับกล้อง DSLR ถ่ายกันไม่เป็นเลยครับ วัดแสงอันเดอร์โอเวอร์กันกระจาย แต่ช่วงนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในการถ่ายภาพแล้วครับ ขยันถ่ายภาพกว่าเรียนหนังสืออีก วัน ๆ หาข้อมูล ทฤษฎีต่าง ๆ มาศึกษา ฝึกถ่าย หาแนวทางใหม่ ๆ ลองทำอะไรแปลก ๆ สารพัดจะลองเล่น รวมถึงมีเพื่อนๆที่มีความชอบร่วมกัน หัดถ่ายภาพไปพร้อมๆกัน ได้คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ในชีวิตการถ่ายภาพไม่มีอะไรที่มีความสุขไปกว่านั้นอีกแล้วครับ ช่วงนั้นก็ยังถ่ายภาพด้วยโหมด Manual ตลอด วัดแสงเฉพาะจุด แล้วแอบใช้ (ต้องเรียกว่าแอบครับ เพราะใช้ของเขาแค่เสี้ยวเดียว) วิธีวัดแสงแบบ Zone System ของ Ansel Adam ซะด้วย เรียกไว้ให้เก๋ ๆ ไปงั้น จริง ๆที่ทำก็แค่เอาไปจิ้มวัดแสงตามส่วนต่าง ๆ ของภาพแล้วคิด ๆ ดูว่าสุดท้ายเราจะต้องเปิดหน้ากล้องเท่าไร ความเร็วชัตเตอร์เท่าไร ไม่ได้ทดสอบ Sensor ของกล้องอะไรจริงจังตามแบบเขาหรอกครับ ตอนเริ่มใช้กล้อง DSLR ใหม่ ๆ ยังเป็นยุคที่มีความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องการถ่ายภาพและแต่งภาพกันอยู่พอสมควร ผมเองถึงจะใช้กล้องดิจิทัล แต่ก็ไม่ชอบการตกแต่งภาพเอามาก ๆ เลย โดยเฉพาะคนที่แต่งมากเกินไป เรียกว่าเกินงามของภาพถ่าย แต่พอภายหลังก็เฉย ๆ ครับ บางครั้งก็เกี่ยวกับเรื่องปากท้อง บางครั้งถ้าดูให้เป็นงานศิลป์ อะไร ๆ ก็ศิลป์ได้ครับ

หลังจากได้เลนส์ Zuiko 14-54/2.8-3.5 มา ทำให้ถ่ายภาพได้สนุกมาก เป็นเลนส์ตัวเดียวที่ไปไหนมาไหนจะต้องติดกล้องตลอด และ E-1 ก็เป็นกล้องที่ดีจริง ๆ อึด ถึก ทน ลุยฝนลุยป่าได้สบาย ๆ ชนิดที่ว่าคนอื่น ๆ ที่ใช้กล้องระดับราคาเดียวกันสมัยนั้นต้องมองตาปริบ ๆ ฝนตกก็เอาไปลุย เลอะโคลนก็ล้างน้ำ ใช้ E-1 อยู่ 3 ปีกว่า ส่วนมากก็ถ่ายภาพท่องเที่ยว มีบ้างที่เริ่มถ่ายโรงแรม งานแต่งงานนิดหน่อย แต่ก็มีเหตุให้ต้องย้ายค่ายครับ ด้วยความคิดที่จะเริ่มรับงานถ่ายภาพดูบ้าง Olympus E-1 กับความละเอียด 5 Mp ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าเลยครับ ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันจะเอาละเอียดอะไรกันนักหนาบางทีไม่ได้อัดออกมาเป็นภาพหรอกครับ ดูกันแต่ในคอมพิวเตอร์นั่นแหละ จังหวะนั้นบังเอิญมีเลนส์จากเพื่อนที่พอให้หยิบยืมกันได้ เลยตัดสินใจย้ายค่ายมาเป็น Canon 50D ที่นี่ล่ะครับเป็นเรื่อง ก็เพิ่งจะรู้จากประสบการณ์ตรงนี่แหละว่ากล้องแต่ละยี่ห้อมันวัดแสงได้เท่ากันซะที่ไหน ผมเป็นคนชอบถ่าย Over หน่อยๆครับ ตอนใช้ E-1 ก็ชดเชยไว้ 1/3 stop แต่พอมาใช้ 50D ต้องชดเชยไว้ 1 stop จึงจะสาแก่ใจ แถมต้องปรับ White Balance ออกไปทางเหลืองๆอีกสัก 2-3 ช่อง จึงได้ภาพที่มีสีสันตามที่ต้องการ สัดส่วนภาพก็เปลี่ยนจาก 4:3 เป็น 3:2 ต้องทำความคุ้นเคยกันใหม่พอสมควร จนหลายๆคนทักว่าซื้อกล้องใหม่มาแต่ทำไมถ่ายภาพได้แย่ลง (จนปัจจุบันก็ยังถ่าย format 3:2 ได้ไม่สวยเลย)

พอเร่ิมรับงานถ่ายภาพ เร่ิมไปกันใหญ่ครับ ส่วนตัวคิดว่าสมัยก่อนข้อจำกัดที่ดีที่สุดของกล้องดิจิทัลคือเมมโมรี่การ์ดครับ ที่ทำให้เราไม่ถ่ายภาพกันมากมายก่ายกองจนเกินไป ตอนใช้ GX ยังมีเมมโมรี่แค่ 256 Mb เอง แต่พอมี 50D ไปถ่ายงานต้องใช้ 4Gb หลายตัวเลย ด้วยความที่เราก็มือใหม่เลยถ่ายกันฉับ ๆ ๆ ๆ เพื่อไม่ให้พลาดจังหวะที่สำคัญ แถมถ่ายด้วย RAW เพื่อจะนำมาตกแต่งภาพในภายหลัง ให้ได้ภาพที่ถูกใจลูกค้าที่สุด ถ่ายไป ๆ ก็เริ่มติดครับ เวลาไปเที่ยว 3 - 4 วัน จากภาพประมาณร้อยภาพ กลายเป็น 4 - 5 ร้อย หลัง ๆ หนักข้อกดไปเกือบพัน ภาพดี ๆ ก็ยังมีแต่ภาพที่ถ่ายมางั้น ๆ น่ะเยอะขึ้น อุปกรณ์ก็พะรุงพะรัง ไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็ขาดไม่ได้ ตอนหลังเปลี่ยนมากเป็น 5D mkII แล้วก็เรียกว่าซื้อหมดจนไม่มีอะไรจะให้ซื้อ จนมีพี่ที่ผมนับถือคนนึงซึ่งเคยไปออกทริปกันเมื่อนานมาแล้ว มาเจอกันอีกทีแกทักว่า “เดี๋ยวนี้กลายเป็นจ้าวอุปกรณ์ไปแล้วนะ” คำนั้นแหละครับที่ทำให้เริ่มเกิดความรู้สึก รู้สึกนึกถึงวันก่อน ๆ ที่เริ่มถ่ายภาพ อุปกรณ์มีน้อย มีข้อจำกัดเยอะ แต่เรามีความสุขกับมันมาก ทีแรกความรู้สึกนี้ก็ไม่มากมายอะไรนัก แต่ภายหลังมันกลับรบกวนจิตใจผมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนพาลคิดไปว่า ตอนนี้เราทำอะไรอยู่ (วะ) มีกล้องก็สักแต่กด ๆ ไป ระบบวัดแสงมันฉลาดแล้วนี่ ให้เฉลี่ยทั้งภาพแล้วใช้โหมด Aperture priority ตลอดเลย ถ่ายไม่ดีก็ดูที่จอ ปรับแล้วถ่ายใหม่ ไม่มีอะไรเสียหาย

ที่เล่าให้ฟังกันมาเสียยืดยาว ก็เพียงเพื่อจะบอกว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ตกลงไปติดกับดักของเทคโนโลยี แน่นอนครับ ภาพที่ได้สวยขึ้น คุณภาพไฟล์ดีขึ้น ถ่ายได้เยอะขึ้น แต่เมื่อมองทั้งหมดแล้วมันไม่มีความหมายอะไรเลยครับ วันนี้ผมสูญเสียความสุขที่ได้จากการถ่ายภาพ วันนี้ผมสูญเสียตัวตนที่เพียรสร้างและศึกษามา จากความสนุกที่ได้ถ่ายภาพ การพินิจพิเคราะห์ ความกระหายที่จะได้ออกไปเที่ยว กลายเป็นความอยากจะได้ภาพสวย ๆ ซึ่งได้มาแล้วก็เบื่อ เซฟทิ้งไว้ในคอมพิวเตอร์ ปิดตาย ถ่ายมาคราวก่อนก็แบบนี้ ถ่ายที่ไหน ๆ ก็แบบนี้ องค์ประกอบแบบเดิม แสงเหมือนเดิม สีสันเหมือนเดิม ก็สวยนะ แต่ไร้ค่า... วัน ๆ ได้แต่นั่งลูบ ๆ คลำ ๆ อุปกรณ์ราคาเรือนแสน ซึ่งตอนนี้รู้สึกว่ามันเริ่มเหมือนที่ทับกระดาษเข้าไปทุกที ๆ”

ผมเคยเขียนทิ้งไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2553 อยู่ ๆ ก็ขุดขึ้นมาอ่านดู เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง จำได้ว่าหลังจากนั้นก็ขาย Canon 50D, 5D mkII ทิ้งไปแล้วมาใช้กล้องฟิล์ม Voigtlander Bessa R3M อาร์ตติสแดกอยู่พักนึง ก็ไปเอา Fujifilm X-pro1 ที่มี Hybrid Viewfinder ที่ไม่ได้ใช้อะไรมันหรอก แล้วสุดท้ายผู้ใหญ่ที่เคารพท่านนึงก็ให้ Nikon fullframe มาใช้ยกชุดก็เลยไม่ได้กลับไปละเมียดละไมอีก จนถึงวันนี้มีไลก้าสามสี่ตัว จะซื้อมาทำไม -*- ซื้อมานั่งดูคาแรกเตอร์ของภาพ อารมณ์ของภาพ ก็ได้มานั่งคิดว่า เอ๊ะ! มันชักจะไปกันใหญ่ เป็นการสนุกกับอุปกรณ์ไปอีกแบบ สมัยก่อนไม่มีเงินแต่มีเวลาเที่ยว สมัยนี้มีเงินซื้อของดีๆได้ แต่ไม่มีเวลาจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตให้ยังพอมีพลัง และแววตาของความกระหายใคร่รู้ ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดกับการถ่ายภาพแบบนั้นมันคงไม่กลับมาอีกแล้ว

นี่คือตัวอย่างภาพถ่ายที่ยังคงประทับใจ จากกล้องถ่ายภาพที่ปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์

bottom of page