top of page

Leica M8

Updated: Aug 24, 2023


วันนี้ฤกษ์ดีคงต้องขอย้อนพูดถึงกล้อง Leica ตัวเด็ดอีกสักทีหนึ่งคือ Leica M8 ครับ ต้องออกตัวไว้ก่อนกว่า เขียนอะไรต่อมิอะไรมาจากประสบการณ์ ในวงการกล้องดิจิทัลมาตั้งแต่ (จะเรียกว่าแรก ๆ ก็คงไม่ถูก เอาเป็นว่าตั้งแต่ Olympus E-1 น่ะนะครับ) ข้อมูลต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องราวที่จำได้ในขณะนั้น ๆ ถ้าไม่เป๊ะ หรือหลงลืมอะไรไปก็ขออภัยด้วยครับ --- ทุกภาพในหน้านี้ (ยกเว้นภาพกล้อง) ถ่ายด้วย M8 นะครับ ---

Leica M8 เป็นกล้องดิจิทัล M รุ่นแรกของไลก้า ไม่ใช่ว่าไลก้าไม่เคยทำกล้องดิจิทัลนะครับ ก่อนหน้านี้มีออกมาหลายรุ่นแล้ว เช่น พวก Digilux C-lux D-lux ซึ่งก็เป็นที่หมายปองของนักสะสมกันอยู่เนือง ๆ แต่ M ก็คือ M ครับ มันดังสุด ๆ มาตั้งแต่ M3 แล้ว และประสบความสำเร็จเรื่อยมา คนติดตามเรื่อยมา เป็นข่าวเกรียวกราวกันทุก M ไม่ว่าจะข่าวเชิงบวกหรือเชิงลบ ก็เป็นกระแสและมีแฟนพันธุ์แท้เกาะติดกล้องยี่ห้อนี้โดยเสมอมา

Leica M8 เปิดตัวเมื่อปี 2006 ซึ่งถึงว่าไลก้าขยับตัวช้าพอสมควรสำหรับตลาดดิจิทัลขณะนั้น ค่ายญี่ปุ่นเริ่มออกวิ่งกันไปไกลแล้ว ยุค ๆ นั้นก็มี Canon 1D mark II N, Nikon D2Xs ซึ่งปีก่อนหน้านั้นก็เป็นปีที่แคนอนเปิดกล้องฟูลเฟรมในราคาระดับกลางคือ Canon 5D ออกมา แปลว่ากระแสตลาดกล้องฟูลเฟรมเริ่มมีราคาลงมาให้จับต้องได้ และยุคนั้นยังนับเป็นยุคเซ็นเซอร์ CMOS เริ่มประสบความสำเร็จเหนือ CCD ด้วย เพราะช่วงนั้น Canon ดังมาก ๆ CMOS มันควบคุม noise ได้ดีกว่ามากเพราะสัญญาณถูกจ่ายออกอิสระในแต่ละตัว Photodiode ขณะที่ CCD จะมีการรวมสัญญาณเป็นแถวๆแล้วค่อยจ่ายออกไป ความร้อนสะสมมากกว่า noise มากกว่า (อธิบายไงดีหว่า เอาเถอะไปหาอ่านเอาเองนะครับ) แถม CMOS ยังประหยัดพลังงานกว่ามาก ช่วงนั้นยังนับเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีเซนเซอร์ให้ทดลองในตลาดกันหลากหลาย ทั้งของ Fujifilm ที่ใช้ CCD แต่วางตัว photodiode ใหม่ ทั้ง Foveon ของ Sigma (ปัจจุบันยังทำอยู่ เจ๋งด้วยขอบอก) ก่อนที่ Nikon จะขยับมาใช้ CMOS ในปี 2008 ทำให้ตลาดกล้องเกือบทั้งหมดเข้าสู่ยุคของ CMOS จนทำให้หลาย ๆ คน บ่นอุบเรื่องคาแรกเตอร์ภาพไม่เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม Leica M8 เปิดตัวมาในยุคนั้นก็เลือกใช้เซนเซอร์แบบ CCD ครับ ไม่รู้ว่ามีปัญหาหรือจะต้องการควบคุมราคาอะไรรึเปล่าถึงไม่ยอมทำเซนเซอร์แบบ Full Frame ออกมา แต่เลือกที่จะทำเซนเซอร์ขนาด APS-H (x 1.33) ขนาด 10 MP ออกมาแทน ซึ่งหลายคนก็ไม่ฟินกันเท่าไร แต่ขอให้มันออกมาเถอะ ใจจะขาดกันอยู่รอมร่อ 555

Leica M8 นับว่าเป็นก้าวสำคัญที่หยิบยกระบบดิจิทัลมาใส่ใน M โดยยึดประสบการณ์การถ่ายแบบในแบบ M ไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งบอดี้ทองเหลือง ระบบเรนจ์ไฟน์เดอร์ ชัตเตอร์แบบ Machanics (Recock อัตโนมัติเสียงดัง ๆ) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบ และในทางกลับกันก็เป็นกับดักความสำเร็จของไลก้า ที่ดิ้นไม่หลุดไปจากรูปแบบนี้เสียที จะทำอะไรแหวกแนวออกมาก็มันไม่ค่อยได้รับการตอบรับที่ดีเท่า M อันนี้ช่วยไม่ได้ครับ คงต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยจนกว่าจะได้นวัตกรรมเปลี่ยนโลกการถ่ายภาพสู่ยุคใหม่ (ซึ่งเราก็คงจะรอคอยวันนั้นกันใช่ไหมครับ) พอไลก้าเปิดตัว M8 มาทุกคนก็เฮ (ส่วนผมตอนนั้นยังเบี้ยน้อยหอยน้อย ไม่สามารถไปจับจองเป็นเจ้าของได้) แต่เฮได้สักพักก็เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งข้อเสียและข้อดีออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นสีสันของวงการกล้องถ่ายภาพและเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ไลก้าจะต้องจดจำไปทีเดียวครับ

การคงไว้ซึ่งการออกแบบ หน้าตา วัสดุ งานประกอบ ทำในเยอรมัน ยังคงเป็นจุดแข็งที่ทำให้กล้องถ่ายภาพไล่กาน่าเชื่อถือ และน่าใช้ขึ้นมากในยุคที่กล้องดิจิทัลหันไปใช้พลาสติกกันหมด (ยกเว้นรุ่นกลางและรุ่นท้อปที่ใช้ Magnesium alloy) แต่ข้อจำกัดก็ยังมีมาก นักถ่ายภาพหน้าใหม่อาจไม่ค่อยกล้าก้าวมาสู่ระบบ M เพราะความที่ต้องโฟกัสมือหมุน ถ่ายต่อเนื่องได้ช้า (มาก) การทำงานของกล้องช้า (มาก) ผู้ใช้งานจาก DSLR จึงกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะใช้ รวมถึงระบบซอฟท์แวร์ในสมัยนั้นก็ยังไม่ค่อยเสถียรดีนัก แฮงค์มั่ง อะไรมั่งไปตามเรื่อง (ปัจจุบันก็ยังเป็น นาน ๆ ที 555) ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบมันตรงที่มันหนาขึ้นกว่า M ฟิล์มเยอะแบบรู้สึกได้ ความ Compact มันหายไป สัดส่วนที่สวยงามมันหายไป คนเรียนดีไซน์มาคงรู้สึกกันทุกคนแหละ (มั้ง)

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องคุณภาพของภาพแล้ว M8 นับเป็นจุดที่ไลก้าแสดงให้เห็นคาแรกเตอร์ของภาพยุคใหม่อย่างชัดเจน ยิ่งถ้าประกบกับเลนส์รุ่นใหม่ ๆ จะเห็นชัดว่าไมโครคอนทราสมาเลย ป๊อบมาเลย คมมาเลย ในยุคที่เซนเซอร์รับภาพมีผลต่อภาพร่วมกับเลนส์ ต้องยอมรับว่า M8 จัดการภาพได้อย่างดีเยี่ยม (ผมว่า jpg จากกล้องดีกว่า 240 อีก 240 ผมว่าเน้นคอนทราสมากไปรายละเอียด shadow หายเกลี้ยง) จนปัจจุบันนี้ปี 2016 M8 ก็ยังเป็นกล้องที่มีคนยังพูดถึงอยู่เนือง ๆ และยังคงเป็นกล้องที่น่าใช้ มีคุณภาพของภาพที่ยังคงเรียกว่าดีมากอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่ผ่านกาลเวลามาเป็น 10 ปี ถ้าลองเทียบกับกล้องยี่ห้ออื่น ๆ ที่ออกในปีเดียวกันที่ปลิวลงถังขยะไปกันหมดแล้ว โดย M8 ยังมีราคาขายต่อมือสองอยู่ในระดับราว ๆ 5 หมื่นบาท

เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบันว่าภาพจาก CCD นั้นมีคาแรกเตอร์ที่ “ฟิน” กว่าเซนเซอร์แบบ CMOS ถึงแม้ว่าต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานที่มากกว่า แบตหมดเร็วกว่า noise มากกว่า แต่ภาพจาก M8 นั้น “เด็ดขาด” จะแพ้ก็คงแค่ M9 (ซึ่งผมไม่เคยใช้นะ) แต่รับรองว่าเด็ดขาดกว่า M (typ240) แน่ ๆ (พูดแบบนี้เดี๋ยวจะโดนชาว 240 ด่าเอา เอาเป็นว่าคาแรกเตอร์แตกต่างกันละกัน 555) ความคมหายห่วง ไมโครคอนทราสดีมาก ภาพป๊อบตามแบบฉบับไลก้าได้ไม่ยากนัก แต่พอกล้อง M8 เปิดตัวออกมาไม่เท่าไรก็มี Reviewer สวดอวยชัยให้พรกันเต็มที่ทีเดียว ด้วยความที่ M8 ตัด Filter AA (Anti Aliasing) และตัด Filter UV/IR ที่ปกติวางไว้หน้าเซนเซอร์ออก ส่งผลให้ภาพคมจัดชัดจริง แต่การที่ขาด Filter AA จะทำให้เกิด Moire pattern ซึ่งผู้ใช้ส่วนมากยังพอรับได้เพื่อแลกกับความคมที่เพิ่มขึ้น แต่การขาด UV/IR มันทำให้กล้องมีประสิทธิภาพในการรับแสงมากขึ้น มากเกินกว่าช่วงตาที่มนุษย์มองเห็น โดยเฉพาะ M8 ดันรับช่วงแสง Infrared เข้ามาด้วย ปรากฏว่า Reviewer เอาไปถ่ายผ้า (โดยเฉพาะใยสังเคราะห์) สีดำ ผลออกมางานเข้าเลยครับ สีดำกลายเป็นสีม่วงเฉย งานนี้มีสวดกันยับ (ตามภาพด้านล่างนี่) ไลก้าแทบเป๋ไปเลยทีเดียว แต่โอกาสในวิกฤติยังมี ด้วยความที่ M8 สามารถรับช่วงแสงได้กว้างมากจนสีที่เราเห็นดำ ๆ กลายเป็นสีม่วงเฉดต่าง ๆ พอแปลงภาพเป็นขาวดำ การไล่โทนภาพเลยมีความละเอียด มีมิติ มากกว่ากล้องทุกตัวในตลาดขณะนั้น งานนี้คอขาวดำได้เฮ ขนาดอีก 10 ปีต่อมา ยังหากล้องที่ถ่ายภาพขาวดำเทียบชั้น M8 ได้ยากเลยครับ ส่วนเรื่องภาพสี Leica เลยจำต้องออกฟิลเตอร์ UV/IR ตามมาให้ใส่หน้าเลนส์เพื่อแก้ไขสีสันให้ถูกต้อง คนบ่นก็ยังคงบ่น คนฟินก็ยังคงฟิน

ผมเห็นหลายคนขาย M8 ทิ้งไปด้วยเหตุผลว่าคุณภาพไม่สมราคา ถ้าพิจารณาถึงความสามารถในเชิงเทคนิคนะ ไม่คุ้มราคาแน่ ๆ ไปเล่น DSLR หรือ Mirrorless สบายใจกว่ามาก แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพของภาพ จนปัจจุบันที่ผมใช้ M240, M60 แล้ว ก็ยังอดคิดถึง M8 ไม่ได้ครับ คิดถึงวันเวลาดี ๆ ที่มีด้วยกัน ความละเมียดละไม บรรจง คุณภาพของภาพขาวดำ ไมโครคอนทราสที่ดี ภาพป๊อบ ภาพเด้ง ผมยังเชื่อว่า ณ ปัจจุบัน เอาไฟล์ภาพจาก M8 มาดูกันก็ยังไม่อายใครครับ

สำหรับคนที่สนใจจะเล่น M8 ตอนนี้ก็ต้องกล่าวว่า กล้องมันสิบกว่าปีแล้วนะเธอ เซนเซอร์นานมากแล้ว hot dead ดูกันให้ดี จะซื้อจะหาก็ตรวจเช็คกันดี ๆ ก่อนนะครับ M8 หลายตัวมีปัญหาเรื่องจอ LCD ด้านหลังมีรอยวงสีน้ำตาล (Coffee ring) Banding noise ใน ISO สูง ๆ และบางตัวครับ เตรียมนับเวลาถอยหลังชัตเตอร์เจ๊ง ซึ่งไอ้อาการซัตเตอร์ error เนี่ย มันไม่เข้าใครออกใครครับ ใช้น้อยใช้มากถึงเวลาถูกหวยมันมาได้หมด ผมเจอมาแล้ว ซีดมาแล้ว แต่พอพ้นมันไปได้ก็เข้าสู่วงการจุดแดงได้เต็มตัวครับ 5555 ถ้าจะเอาปัญหาน้อย ๆ ขยับมาเล่น M (typ240) หรือใหม่กว่านั้นที่เซนเซอร์เป็น CMOS แล้วจะปัญหาน้อยกว่ามาก

เล่น Leica ต้องใจรัก เงินถึง รอเวลาซ่อมได้ ถ้าใครทำอย่างที่ว่าไม่ได้ก็อย่ามาด่ากันครับ ใช้ยี่ห้อไหนถูกใจอะไรก็ใช้ไป แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบกล้องไล่กาแล้ว คาแรกเตอร์ภาพที่ได้บวกกับคาแรกเตอร์คนถ่ายเวลาห้อยกล้อง มันคุ้มครับ ถึงใครจะค่อนแคะว่ากล้องเอาไว้ถ่ายรูป ซื้อแพง ๆ ทำไม แต่ผมกลับมองอีกอย่างนะ อยากให้มองให้ถึงจริง ๆ ว่าฟังก์ชั่นมันคืออะไรกันแน่ ปากกาลูกลื่นแท่งละ 10 บาท กับปากกาลูกลื่นยี่ห้อดัง ๆ แท่งละเป็นหมื่น มันเขียนได้เหมือนกันครับ แต่ฟังก์ชั่นที่แท้จริงมันคือการแสดงถึงบุคลิก ระดับ และรสนิยมของผู้ใช้ ซึ่งไม่ผิดไม่ถูกนะครับ รสนิยมมันว่ากันไม่ได้ ชอบแบบไหนก็ว่าไปตามแบบนั้น ราคาของคำว่าสุนทรียภาพ (Aesthetics) มักจะแพงที่สุดในการตั้งราคาสินค้าเสมอ ^_^

bottom of page